วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

          หายไปนานครับที่ไม่ได้โพส ทั้งนี้เนื่องจากภารกิจมากมายอีกทั้งยังไม่มีข่าวคราวใดๆที่น่านำเสนอก็เลยถือโอกาสหยุดพักยาวเพื่อสะสางงานในโรงเรียน ช่วงนี้ไปไหนมาไหนมีคำถามยอดฮิตที่สอบถามจากเพื่อนผู้บริหารคือ "เมื่อไหร่จะดำเนินการเรื่องย้ายผู้บริหารสถานศึกษาของ สพป.ชบ.๓  ซึ่งผมก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ครับ ทั้งนี้เนื่องจาก ต้นเรื่องทั้งหมด มาจาก สพป.ชบ.3 แต่อย่างไรก็ตามครับหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ส่งพร้อมหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ ๐๒๐๖.๔/ว ๙ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔) กำหนดให้พิจารณาคำร้องขอย้ายให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ก็เลยได้แต่ตอบเพื่อนผู้บริหารสถานศึกษาไปว่า ก็คงไม่เกินวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน นี้ มั้ง เพราะถ้าเกินนี้ ก็คงมีเหตุผลและคำอธิบายกันพอสมควร เพราะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แต่อย่างไรก็ตามผมก็เชื่อว่า สพป.ชบ.๓ คงดำเนินการแล้วเสร็จอีกไม่นานนัก
          ช่วงนี้มีประเด็นที่น่าสนใจบางเรื่องที่เกิดจากการนำหลักเกณฑ์การย้ายไปปฏิบัติที่แตกต่างกันและดูๆแล้ว ประเด็นนี้จะเป็นปัญหาในการย้าย ครูและผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต ประเด็นดังกล่าวได้แก่ การเสนอความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษา เท่าที่รับฟังมา
          หลังจาก พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ซึง่ ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา ๕๙ กำหนดให้การย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดไปดำรงตำแหน่งในหน่วยงานการศึกษาอื่นภายในส่วนราชการหรือภายในเขตพื้นที่การศึกษาหรือต่างเขตพื้นที่การศึกษาต้องได้รับอนุมัติจาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง ของผู้ประสงค์ย้ายและผู้รับย้าย แล้วแต่กรณี และให้สถานศึกษาโดยคณะกรรมการสถานศึกษาเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง ด้วย และเมื่อ  อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง พิจารณาอนุมัติแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้นั้นต่อไป  ก.ค.ศ.ได้กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ส่งพร้อมหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ ๐๒๐๖.๔/ว ๙ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔) ได้อธิบายความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาไว้ว่าความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาของผู้ประสงค์ขอย้ายและความเห็นของ คณะกรรมการสถานศึกษาที่ผู้ประสงค์ขอย้ายไปดำรงตำแหน่ง ให้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เท่านั้น 
           โดยสรุปก็คือ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ จะต้องมีมติเกี่ยวกับเรื่องย้ายโดยพิจารณาข้อมูลประกอบการพิจารณาจาก ๒ แหล่ง ดังนี้
          ๑. ความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษา
          ๒. ผลการประเมินศักยภาพของผู้ที่มีความประสงค์ขอย้าย
          ทั้งนี้ ให้ยึดประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ
          
          ประเด็นที่น่าศึกษาจากการนำหลักเกณฑ์นี้มาใช้ก็คือ ทุกปี เรามักจะได้รับการร้องเรียนว่า หลายๆโรงเรียนได้นำหลักเกณฑ์ นี้ไปกำหนดเลยว่า ไม่ต้องการผู้บริหารคนนี้ แต่จะเอาคนนั้น หลายโรงเรียนกำหนดเป็นมติของคณะกรรมการสถานศึกษาปิดประตูรับผู้บริหารบางรายที่ยื่นคำร้องขอย้ายไป สถานศึกษานั้นๆ ถ้าถามว่า ความเห็นหรือมติในลักษณะนี้ จะมีผลต่อผลการย้ายหรือไม่ คำตอบก็คือ ความเห็นหรือมติดังกล่าว ได้ชี้แจงหรืออธิบายเหตุผลมาชัดเจนหรือไม่ ว่าเหตุที่ให้ความเห็นว่าจะเอาใครหรือไม่เอาใคร มันมีความเป็นมาหรือเหตุผลอย่างไร คนที่ลงมติว่าจะไม่เอาหรือไม่รับให้อยู่ มีประวัติในการรับราชการไม่ดีอย่างไร เคยถูกลงโทษทางวินัยมากี่ครั้ง ประวัติการทำงานมีความเป็นมาด่างพร้อยอย่างไรอย่างไร ถ้าสามารถชี้ชัด ระบุได้ ผมก็มีความเชื่อว่า ความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษามีเหตุผล มีน้ำหนักน่ารับฟัง ที่เป็นห่วงก็คือ มีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ ไม่ชอบกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่ หรือว่า มีการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพื่อหวังผล ให้คู่แข่งขันด้อยกำลังลงหรือไม่ถ้าเป็นแบบนี้ก็เป็นที่น่าเสียใจ
          ผมเชื่อว่า หลักเกณฑ์ที่เกิดขึ้นนี้ วัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในท้องถิ่นจะต้องได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน คณะกรรมการสถานศึกษา และผมก็เชื่อว่า หลักเกณฑ์นี้ไม่ต้องการให้มีการกลั่นแกล้งกัน พวกเราเป็น พี่ เพื่อน น้อง ผู้บริหารด้วยกัน ถ้าเพียงแค่ต้องการให้ตนเอง หรือพวกพ้อง ได้ย้ายไปโรงเรียนที่อยากจะย้ายไป แล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง เอาหลักเกณฑ์ที่มีมาสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่น่ารังเกียจ เพื่อแค่ให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ แล้วสามารถทำลาย พี่ เพื่อน น้องได้ทุกรูปแบบ ถ้าทำได้ขนาดนี้ อย่าว่าแต่จะเป็นผู้บริหารเลยครับ เป็นแค่คนยังยากครับ


                                                         นายวัชรินทร์  ศรีเปารยะ